วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
- บรรจุในเจดีย์ ผอบแก้ว หรือโถกระเบื้องมีฝาครอบ อัญเชิญไว้ในที่สูงเหมาะแก่การกราบไหว้ - สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ น้อมใจระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ว่ามีพระคุณยิ่งใหญ่ประมาณมิได้ต่อสัตว์โลก - การจะมีข้าวตอกดอกไม้เครื่องหอมเป็นเพียงส่วนประกอบ หากบูชาด้วยสิ่งเหล่านั้นอยู่เป็นประจำ แต่จิตใจไม่เคยน้อมคิดถึงพระคุณท่านเลย การบูชานั้นก็เป็นเพียงอามิสบูชา - การบูชาที่แท้จริง คือการปฏิบัติบูชา ได้แก่ การปฏิบัติตามคำสอนของท่านซึ่งจะทำให้เกิดผลดีกับตนเอง อันจะทำให้เกิดศรัทธาและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของท่านอย่างลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจ - พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาด้วยคำอธิษฐาน และเสด็จไปได้เมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้อง - การปฏิบัติบูชาที่ถูกต้อง มีผลานิสงส์มากนัก อาจทำให้สำเร็จประดยชน์และสุขสมบูรณ์ได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า หรือประโยชน์อย่างยิ่ง คือ "พระนิพพาน"
- พระบรมสารีริกธาตุ เป็นของหายาก และมีค่ายิ่ง - การได้กราบไหว้บูชาสักการะพระบรมสารีริกธาตุนี้ มีผลานิสงส์มากเท่ากับได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ นับว่าเป็นมหามงคล และให้อานิสงส์แก่ผู้สักการะอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้ประสบความสำเร็จ และความสุขสมปรารถนาทั้งในชาตินี้และชาติหน้าตราบเข้าสู่นิพพาน ผลานิสงส์ที่บังเกิดแก่ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสและกระทำสักการะโดยสุจริตเท่านั้น
_________________________________________________________
พระคาถาอัญเชิญเสด็จพระบรมสารีริกธาตุ -(นะโม 3 จบ) อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ
_______________________________________________
คำตั้งสัจจาธิษฐานในการกราบบูชาพระบรมสารีริกธาตุ -(นะโม 3 จบ)
อิมัสสมิญจะ พุทธะเจติเย สุปุติฏฐิตัง ปะระมะสารีริกะธาตุง อภิปูชะยามะ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อมบูชา พระคุณของพระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระกรุณาอันหาประมาณมิได้ ที่ได้ทรงเสียสละสั่งสมพระบารมีเพื่อทรงตรัสรู้ และประกาศพระธรรม นำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์
ข้าพเจ้าขอน้อมจิตและกายวาจา บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง ขอตั้งสัจจาธิษฐาน ด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรมอันใด ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนแห่งธรรมของพระองค์นั้นด้วย
แม้ต้องเกิดอยู่ในภพชาติใดๆ ขอเกิดภายใต้ร่มเงาแห่งพระบวรพุทธศาสนา มีกรรมสัมพันธ์อันดี มีโอกาสได้พบสัตบุรุษ ผู้รู้ธรรมอันประเสริฐ ให้เกิดท่ามกลางกัลยาณมิตร และเป็นสัมมาทิฏฐิทุกชาติไป ให้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังธรรม ประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัยตามส่งทั้งชาตินี้และชาติหน้าต่อๆไป ให้เจริญด้วยสติ และปัญญาญาณ จนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ
__________________________________________________________
พระคาถาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
อะหัง วันทามิ ธาตุโย, อะหัง วันทามิ สัพพโส, พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เอวัง ธาตุโย จัตตารี สะสะมา ทันตา เกสา โลมา นะขา ขจี อะหังวันทามิ ธาตุโย อภิปูชยามิ (สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ)
อะหัง วันทามิ อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ปูชะนัตถายะ พรหมะโลเก สะเทวะมนุสสะโลเก ปติฏฐะมานา ปะระะมะสารีริกะธาตุโย เจวะ ธาตุโย จะมัยหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ
ข้าพเจ้า ขอกราบวันทา พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุทั้งหลายที่ประดิษฐานอยู่ในพรหมโลก ทั้งในเทวโลกและมนุษย์โลก เพื่อต้องการบูชาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความพ้นทุกข์แก่ข้าพเจ้า สิ้นกาลนานเทอญฯ
________

ขณะเมื่อสวดมนต์ไหว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์ธาตุ จงตั้งใจสวดภาวนาด้วยพระคาถานี้ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาความดีงาม หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวสืบไป ____________________________________________________________

พระธาตุพระสีวลี

คาถาบูชาพระธาตุพระสิวลี
อะหัง วันทามิ สิวลี ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส
__________________
สิวลีจะมหาเถโร ปัจจะยะลาภะปูชิโต มะนุสโสเทวะตาอินโท พรหมายะดมยักขาวา ปิตัสสะนิรันตะรัง ปะนะลาภะสักกาเล อาเน็นตินิจจัง สิวะลิดเถรัสสะลาโภ จะสักกาโรโหติ
สิวะลีมหาเถรันจะปูชะกัสสะ สะทาวาปิคาถันจะสังวัดตะ นัสลาโภจะสักกาโรโหติ เถรัสสะอานุภาเวนะ ลาโภเมโหตุสัพพะทา เอเตนะสัจจะวัชเชนะ ลาโภเมโหตุสัพพะทา
สิวะลี จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา สิวะลี จะ มะหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวลี เถรัสสะ เอตัง คุณัง สวัสดิลาภัง ภวันตุเม สิวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ภะวันตุ เมฯ
__________________
"พระสีวลี มีสัณฐานดังเมล็ดในพุทราอย่างหนึ่ง ผลยอป่าอย่างหนึ่ง เมล็ดมะละกออย่างหนึ่ง วรรณเขียวดังดอกผักตบบ้าง แดงดังสีหม้อใหม่บ้าง สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดังหวายตะค้าบ้าง แลขาวดังสีสังข์บ้าง"
ประวัติ พระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก
พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่าน อาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....
พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่ อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย ภิกขาจาร”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ พระสีวลี นั้นด้วย”
ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก
ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิ ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน